งดกินแป้งเถอะถ้าไม่อยากแก่เร็ว

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเข้าสู่วัย 50 ปี

เมื่อเข้าสู่วัย 50 ปี จะสังเกตุได้ว่าโรคต่างๆ มักจะเข้ามาในช่วงวัยนี้ นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยทั่วไปแล้วร่างกายจะนำพลังงานที่ได้จากอาหารและออกซิเจนมาใช้โดยผ่านระบบเผาผลาญ 2 ระบบเป็นหลัก

ส่วนแรกคือ “ระบบย่อยน้ำตาล” ซึ่งได้จากการเผาผลาญน้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที จะสังเกตุได้ว่าคนหนุ่มสาว เมื่อต้องการลดน้ำหนักแล้วมีการลดแป้งลง มักจะมีอาการหน้ามืด เพราะน้ำตาลตกนั่นเอง

ส่วนอีกระบบหนึ่ง ที่หลายคนไม่ค่อยรู้จักคือ “ระบบไมโตคอนเดรีย” ซึ่งเมื่อเข้าสู่วัย 50 ปีแล้ว ระบบย่อยน้ำตาลที่เคยเป็นกลไกหลักจะลดบทบาทลง และระบบไมโตคอนเดรียซึ่งจะเผาผลาญออกซิเจนให้เป็นพลังงานมาทำหน้าที่แทน โดยพลังงานที่ได้จะถูกนำไปใช้สำหรับอวัยวะที่มีการทำงานตลอดเวลา เช่น หัวใจ เซลล์สมอง และไมโตคอนเดรียยังมีหน้าที่ผลิตเอมไซน์นับพันๆชนิด เพื่อไปย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานที่เรานำไปใช้ในแต่ละวัน

ถึงเวลาบอกลา “คาร์โบไฮเดรต”

ด้วยหลักการนี้ ทำให้เมื่อร่างกายเข้าสู่วัย 50 ปี ระบบย่อยของร่างกายเปลี่ยนไป หากเรายังกินคาร์โบไฮเดรตเท่าเดิมก็จะทำให้ระบบย่อยน้ำตาลกลับมาทำงานควบคู่ไปกับไมโตคอนเดรียอีกครั้ง ส่งผลให้ไม่สามารถนำออกซิเจนทั้งหมดมาเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ ออกซิเจนที่เหลืออยู่เป็นจำนวนมากจึงเปลี่ยนไปเป็นอนุมูลอิสระอนุพันธ์ออกซิเจน ที่ไวต่อการทำปฏิกิริยา หรือที่เรียกกว่า Reactive Oxygen Species (ROS) ที่เราจะได้ยินกันบ่อยๆก็คือ “อนุมูลอิสระ” นั่นเอง

ซึ่งเจ้าอนุมูลอิสระนี่แหละ เป็นตัวการสำคัญที่จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับกรดไขมัน ซึ่งส่งผลต่อการเจ็บป่วยของคนเราค่อนข้างมาก เซลล์ต่างๆถูกทำลายหรือผิดรูปร่างไป ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพ แล้วแบบนี้จะไม่ให้แก่ได้อย่างไร

อาหารของคนไทยซึ่งถูกสืบทอดต่อกันมาจนเป็นวัฒนธรรมการกิน ก็มักจะมีแป้งเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็นข้าวราดแกง ข้าวหน้าต่างๆ ก๋วยเตี๋ยวเส้นต่างๆ นี่ยังไม่รวมขนมปัง พิชซ่า อื่นๆอีกสารพัด หากจะให้เลิกกินเลยก็คงเป็นไปได้ยาก เราอาจจะหันมาลองกินพวกพืชหัว เช่น มันเทศ เผือก แห้ว ฟักทอง หรือถั่วต่างๆ รวมไปถึงข้าวกล้อง ซึ่งมีกากใยสูง ย่อยง่ายและยังอิ่มไม่แพ้ข้าวอีกด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว สำหรับใครที่อายุ 50 แล้ว ก็ให้ลองกินแป้งให้น้อยลงหรือลดไปเลยก็ยิ่งดี ค่อยๆทำติดต่อกันไปเรื่อยๆ เพื่อสุขภาพที่ดี และยังป้องกันให้ห่างไกลโรคอีกด้วย